Climate is Okay?
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการผสมผสานเทคนิคงานวาดมือเข้ากับการทำ Motion graphic และ ภาพเสมือนจริง (AR) ศิลปินในฐานะนักวิจัยพยายามค้นหาความสัมพันธ์ของพื้นที่ป่าและพื้นที่เมือง ความแตกต่างขององค์ประกอบสภาพแวดล้อม ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อสภาพพื้นที่ การกัดกร่อน แห้งแล้ง โดดเดี่ยวของพื้นที่สีเขียวที่ค่อยๆหมดไป ผ่านผลงานวาดอันเปลี่ยวเหงา สะท้อนโลกที่กำลังค่อย ๆ ล่มสลายจากภาวะโลกร้อน ผู้ชมจะได้บรรยากาศดำดิ่งของความเงียบงัน ทว่าบางครั้งกลับคุกรุ่น กัดกินจิตใจ สร้างอารมณ์ที่แปรปรวนดั่งสภาพอากาศ ตั้งคำถามต่อโลกใบนี้ การปกป้องหรือการทำลายผ่านงานทุกชิ้นอย่างแยบยล
ผลงานประกอบไปด้วยเรื่องราวใน 5 องก์ (Motion Graphics)
.
องก์ 1 แทรกแซง (Intervention) : เมื่อความเป็นเมืองเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อพื้นที่ธรรมชาติ การรุกล้ำ กัดกร่อน เป็นส่วนแรกที่จะนำผู้ชมให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพื้นที่ป่ากับเมือง ตั้งคำถามต่อความสมดุลระหว่างพื้นที่ธรรมชาติและป่าปูนที่มนุษย์สร้างขึ้น
องก์ 2 แปรปรวน (Climate Change) : เมื่อเมืองเข้ามากัดกร่อนทำลายพื้นที่ป่าจนขาดความสมดุล นำพาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรง สะท้อนปัญหาอุทกภัย ภัยพิบัติ แสดงให้เห็นถึงการถูกคุกคามและนำไปสู่เรื่องราวในองก์ถัดไป
องก์ 3 ดิ้นรน (Struggle) : การถูกบีบอัด สกัดกั้นการเจริญงอกงาม เติบโตของธรรมชาติ นำไปสู่การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด สะท้อนให้เห็นการดิ้นรนแสวงหาพื้นที่ในการเจริญงอกงาม เปรียบเสมือนพื้นที่ของเมืองที่ขาดความสมดุลของพื้นที่ธรรมชาติ ดังผู้ชมจะได้เห็นกิ่งก้านของต้นไม้ที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกรอบสี่เหลี่ยม กิ่งก้านที่พยายามดิ้นรนหาทางออกจนถูกบดขยี้ให้แหลกสลายไป
องก์ 4 ความหวังในความสิ้นหวัง (Hope in hopeless) : การดิ้นรนต่อสู้เพื่อคงความงอกงามของพื้นที่ธรรมชาติในขอบเขตอันถูกจำกัด เปรียบเหมือนต้นไม้ที่พยายามเติบโตขยายกิ่งก้านสาขาออกไป แม้มีเพียงความหวังอันน้อยนิดในการอยู่รอด สะท้อนถึงพื้นที่ธรรมชาติที่ไม่อาจต้านทานการขยายตัวของป่าปูนได้ จนอ่อนแรงไปในที่สุด
องก์ 5 สูญสิ้น (The End) : การดับสูญของพื้นที่ธรรมชาติ เหลือไว้เพียงเถ้าธุลีดิน ความโหดร้ายของสภาพอากาศ อุณหภูมิที่ค่อย ๆ สูงขึ้น ความไม่สมดุลของสรรพสิ่ง การรุกรานโดยปราศจากการยั้งคิดของมนุษย์นำพาไปสู่การทำลายธรรมชาติจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงฝุ่นผงแห่งความสิ้นหวัง
0%